เมืองไทย 360 องศา
ช่วยไม่ได้จริงที่ต้อง“โดนเต็มๆ”สำหรับหน่วยงานที่อยู่ในกระบวนการยุติธรรมต้นทาง กลางทาง อย่างอัยการและตำรวจ ที่มีการสั่งไม่ฟ้อง“บอส”หรือ นายวรยุทธ อยู่วิทยา ทายาทกระทิงแดง ซึ่งทางตำรวจไม่มีความเห็นแย้ง และนำไปสู่การถอนหมายจับทุกคดีที่เหลือทั้งในประเทศรวมทั้งการขอถอนหมายจับโดยตำรวจสากลหรืออินเตอร์โพลในเวลาต่อมา
สำหรับแบ็กกราวด์ของคดี เชื่อว่าแทบทุกคนในสังคมนี้รับรู้กันดีอยู่แล้วว่า เหตุเกิดขึ้นเมื่อกลางดึก วันที่ 3 กันยายน 2555 ที่นายวรยุทธ อยู่วิทยา ได้ขับรถยนต์เฟอร์รารี่ ชนดาบตำรวจวิเชียร กลั่นประเสริฐ ตำรวจจราจร สน.ทองหล่อ เสียชีวิตในที่เกิดเหตุ และนายวรายุทธได้หลบหนีก่อนที่จะยอมมอบตัวในเวลาต่อมา แม้ว่าที่ผ่านมาทางตำรวจจะตั้งหลายข้อหา และส่งฟ้องหลายคดี โดยพนักงานสอบสวน สน.ทองหล่อ ได้ส่งฟ้อง 4 ข้อหาคือ 1. ขับรถเร็วเกินกว่าอัตราที่กฎหมายกำหนด 2. เกิดอุบัติเหตุแล้วไม่หยุดรถให้ความช่วยเหลือ 3 .ขับรถในขณะมึนเมา และ 4. ขับรถโดยประมาทเป็นเหตุให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย
โดยความผิดตามข้อหาที่ 1 และ 2 มีอายุความ 1 ปี ส่วนความผิดในข้อหาที่ 3 มีอายุความ 5 ปี อย่างไรก็ดี ทั้ง 3 ข้อหาดังกล่าว ได้ขาดอายุความไปหมดแล้ว คงเหลือข้อหาขับรถโดยประมาทำให้ผู้อื่นถึงแก่ความตาย ซึ่งมีโทษจำคุกไม่เกิน 10 ปี และปรับไม่เกิน 2 หมื่นบาท อายุความ 15 ปี โดยจะขาดอายุความ ในวันที่ 3 กันยายน 2570
ระหว่างการสอบสวน ก่อนตำรวจส่งสำนวนการสอบสวนให้พนักงานอัยการนั้น นายวรยุทธ ได้หลบหนีออกนอกประเทศตั้งแต่นั้นเป็นต้นมาจนถึงปัจจุบันนี้ นานถึง 8 ปี หลังจากผู้ต้องหาหลบหนีไปแล้ว ก็มีข่าวคราวของผู้ต้องหาไปปรากฏตัวในต่างประเทศหลายประเทศ จนทำให้ประชาชนทั่วไปที่ติดตามข่าวนี้ ได้มีการแสดงความคิดเห็นและไม่พอใจการทำหน้าที่ของตำรวจ และมีคำถามกับเจ้าหน้าที่ตำรวจ ตลอดจนถึงพนักงานอัยการ ที่มีหน้าที่เกี่ยวข้องคดีนี้ ให้ทำการติดตามจับกุมเพื่อนำผู้ต้องหามาฟ้องศาล แต่ไม่สามารถติดตามตัวมาดำเนินคดีในประเทศไทยได้ จนข่าวคราวเรื่องนี้ค่อยๆ เงียบหายไปจากความสนใจขอประชาชน
แต่ต่อมา วันที่ 23 กรกฎาคม 2563 ปรากฏข่าวจากสื่อจากต่างประเทศว่า คดีอาญาเรื่องนี้ ตำรวจได้มีการเพิกถอนหมายจับผู้ต้องหาในคดีนี้ โดยอัยการสูงสุด มีความเห็นสั่งไม่ฟ้องคดีนี้ ตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายน 2563 ที่ผ่านมาแล้ว โดยข่าวนี้คนไทยในประเทศไม่เคยทราบหรือรับรู้มาก่อน สร้างความงุนงงและความสงสัยเคลือบแคลงให้แก่คนไทยทั้งประเทศ ในการทำหน้าที่ของตำรวจและอัยการ เกี่ยวกับคดีนี้
แน่นอนว่าเกี่ยวกับคดีนี้ได้ก่อให้เกิดปฏิกิริยาในทางลบอย่างรุนแรงต่อสำนักงานตำรวจแห่งชาติ และพนักงานอัยการ เนื่องจากสังคมส่วนใหญ่มองเห็นถึงความ “มีพิรุธ”และช่วยเหลือผู้ต้องหาที่เป็นทายาทของเศรษฐีอันดับต้นๆ ของไทย จนเวลานี้คำพูดที่ว่า “คุกมีไว้ขังเฉพาะคนจน”แพร่กระจายและตอกย้ำมากขึ้นเรื่อยๆ
ขณะเดียวกัน ล่าสุดได้มีคำแถลงของกลุ่มธุรกิจทีซีพี ที่เป็นเจ้าของเครื่องดื่มกระทิงแดงว่า ไม่ได้เกี่ยวข้องกับนายวรายุทธ อยู่วิทยา และไม่ได้เกี่ยวข้องกับธุรกิจในเครือทั้งหมด รวมทั้งผู้บริหารและผู้ถือหุ้นทั้งหมด ก็ไม่ได้มีส่วนเกี่ยวข้องกับคดีดังกล่าวอีกด้วย
ความเคลื่อนไหวดังกล่าวที่เกิดขึ้นนี้ ย่อมมาจากสาเหตุที่มีกระแสสังคมต่อต้าน หรือ"บอยคอต" สินค้าในกลุ่มนี้ มีการเคลื่อนไหวกันในโลกโซเชียลฯ อย่างกว้างขวาง
ขณะเดียวกันผลจากคดีนี้ นอกเหนือจากส่งผลกระทบทางลบอย่างรุนแรงต่อสำนักงานอัยการสูงสุด และสำนักงานตำรวจแห่งชาติแล้ว โดยเฉพาะอย่างยิ่งกรณีที่มีการสั่งไม่ฟ้องมาตั้งแต่วันที่ 18 มิถุนายนที่ผ่านมา และทางตำรวจได้สั่งถอนหมายจับไปแล้ว แต่ที่คนไทยเพิ่งรับรู้ก็มาจากการที่สื่อต่างชาติได้นำเสนอรายงานข่าวนี้ เมื่อวันที่ 23 กรกฎาคม ที่ผ่านมานี่เอง ทำให้รู้สึกเหมือนกับว่า “ถูกตบหน้า”อย่างแรง ทำให้เสียงเรียกร้องให้มีการ“ปฏิรูป” สองหน่วยงานนี้ ดังกระหึ่มอีกครั้ง โดยคราวนี้ให้เพิ่มปฏิรูปหน่วยงานอัยการเข้าไปด้วย หลังจากก่อนหน้านี้มีตำรวจเป็นตัวยืนมานาน
อีกทั้งงานนี้เชื่อว่าจะยังเกิดแรงสั่นสะเทือนไปถึง พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี และรัฐบาลตามมาอีกด้วย โดยเฉพาะแรงกดดันให้เขาแสดงท่าทีกับเรื่องนี้ รวมไปถึงท่าทีในการ “ปฏิรูปกระบวนการยุติธรรม”ให้ชัดเจน ซึ่งในเวลานี้ก็มี “ข่าวลือ”มากมาย ที่กล่าวหาว่ามีคน “อยู่เบื้องหลัง”ในการ “เป่า”คดีนี้ด้วย
ดังนั้น กรณีที่เกิดขึ้นนอกจากทำให้เกิดภาพในทางลบเพิ่มขึ้นให้กับสำนักงานอัยการ และสำนักงานตำรวจแห่งชาติ ที่ถูกสังคมส่วนใหญ่มองด้วยความเคลือบแคลงสงสัยมานาน ขณะเดียวกันก็ยังเป็นตัวเร่งให้เกิดการปฏิรูปทันที รวมไปถึงการกดดันให้ พล.อ.ประยุทธ์ จันทร์โอชา นายกรัฐมนตรี ต้องแสดงท่าทีในเรื่องนี้อีกด้วย !!
July 27, 2020 at 12:34AM
https://ift.tt/3f2KVZd
เป่าคดี “บอส กระทิงแดง” เร่งปฏิกิริยาลบลามถึงรัฐบาล !? - ผู้จัดการออนไลน์
https://ift.tt/2zlCrwM
Home To Blog
No comments:
Post a Comment